Skip to main content

กุญแจแห่งการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพ
หลังจากการติดเชื้อโควิด-19
(COVID-19 Rehabilitation)

โดย 02/06/2022ตุลาคม 21st, 2022บทความเพื่อสุขภาพ

เรื่องน่ารู้:

  • ก่อนการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพของผู้ที่ป่วยด้วยเชื้อโควิด-19 จะต้องอาศัยการประเมินสุขภาพและการสังเกตจากตนเองในเรื่องของอาการผิดปกติที่ผลมาจากการรับเชื้อโควิด-19
  • กลุ่มผู้ที่ต้องได้รับการฟื้นฟู:

⚠ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น

⚠ ผู้ที่เคยมีอาการป่วยอย่างรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจจะส่งผลต่อความเสียหายอย่างฉับพลันในระบบอวัยวะภายในที่สำคัญ

  • มีภาวะพังผืดในปอดหรือระบบทางเดินทำงานผิดปกติ
  • มีอาการตับอักเสบหรือตับแข็ง
  • มีอาการตับอ่อนอักเสบหรือโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง

⚠ ผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

⚠ ผู้ที่ประสบปัญหาต่อระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด

⚠ ผู้ที่ประสบภาวะความบกพร่องการทำงานของระบบประสาทและสมอง

⚠ ผู้ที่ประสบภาวะวิตกกังวลซึมเศร้า

  • การฟื้นฟูจำเป็นต้องมีการประเมินสุขภาพในด้านต่างๆ พร้อมสังเกตอาการที่ผิดปกติ เช่น
  • การฟื้นฟูสุขภาพจิต
  • การฟื้นฟูสุขภาพทางระบบประสาทและสมอง
  • การฟื้นฟูสุขภาพอวัยวะภายใน
  • การฟื้นฟูสุขภาพทางร่างกาย

เนื่องจากการพักฟื้นหรือการรักษาอาจมีระยะเวลาที่ยาวนาน จึงอาจจะทำให้มวลกล้ามเนื้ออ่อนแอและข้อต่อไม่ยืดหยุ่นได้ สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อและมีอาการอย่างรุนแรงอาจจะต้องได้รับกายภาพบำบัดในการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการทั่วไป ให้เริ่มต้นจากการออกกำลังกายเบาๆ ก่อนสัก 1 เดือนเพื่อดูท่าที หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในทันที

  • สิ่งสำคัญก่อนจะเข้าสู่การฟื้นฟูและดูแลสุขภาพหลังการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างถูกต้องและตรงจุด คือ การตรวจประเมินสุขภาพทั้งทางด้านร่างกาย อวัยวะภายในที่สำคัญ ระบบประสาทและสมอง และสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่คุณจะได้รู้จุดบกพร่องหรือปัญหาสุขภาพที่แท้จริงหลังการติดเชื้อโควิด-19 รวมถึงการสังเกตอาการของตนเองจนกว่าจะได้รับการประเมินสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพว่าอยู่ในสภาวะที่เป็นปกติดีแล้ว
  • ควรปฏิบัติต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด รับวัคซีนเมื่อมีโอกาส และล้างมือให้สะอาดสม่ำเสมอ

การฟื้นฟูสุขภาพหลังจากการติดเชื้อโควิด-19 เริ่มจากตรงไหน

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่รับเชื้อโควิด-19 ภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนที่จะมาประเมินอาการว่าคุณเป็นผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของอาการในระดับใด หากคุณคือผู้โชคดีโดยที่ไม่มีอาการรุนแรงจากติดเชื้อ ร่างกายจะสามารถควบคุมและกำจัดเชื้อได้ภายใน 72 ชั่วโมง ก่อนที่อาการจะเริ่มขึ้น

ผู้ที่มีอาการป่วยเล็กน้อยโดยทั่วไปจะถือว่าหายดีหลังจาก 7 วัน หากไม่มีอาการหรือไม่แสดงอาการใหม่ใดๆ ในช่วงเวลานี้ อาการในเด็กและทารกจะรุนแรงน้อยกว่าในผู้ใหญ่ เด็กที่ติดเชื้อบางรายอาจไม่แสดงอาการป่วยใดๆ

ผู้ที่ประสบกับอาการการติดเชื้อขั้นรุนแรงอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะฟื้นตัว และมีโอกาสสูงในการพบปัญหาสุขภาพในระยะยาว คือ การเกิดภาวะลองโควิด (Long COVID-19) โดยอาการส่วนใหญ่มักจะดำเนินต่อไปเป็นเวลา 2 ถึง 8 สัปดาห์หลังการติดเชื้อโควิด-19

หากคุณเป็นโรคอุบัติใหม่นี้หรือได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น ในการใช้ชีวิต ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างหรือสังคม พิษเศรษฐกิจ อาจจะต้องกลับมาทบทวนและเริ่มประเมินเพื่อฟื้นฟูสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น

  • การฟื้นฟูสุขภาพจิต
  • การฟื้นฟูสุขภาพทางระบบประสาทและสมอง
  • การฟื้นฟูสุขภาพอวัยวะภายใน
  • การฟื้นฟูสุขภาพทางร่างกาย

หากคุณได้รับการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพได้อย่างทันท่วงทีและได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จะทำให้คุณได้ใช้ชีวิตที่มีความพร้อม กับยุคที่สุขภาพนั้นมีค่าเท่ากับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว

ใครบ้างที่ต้องฟื้นฟูสุขภาพหลังจากการติดเชื้อโควิด-19

หากคุณหรือใครก็ตามคือผู้ที่เคยมีอาการการติดเชื้อแบบรุนแรง และหลังจากการติดเชื้อโควิด-19
ต้องประสบภาวะ Long COVID-19 ควรที่จะฟื้นฟูและดูแลสุขภาพอย่างจริงจังหลังจากการติดเชื้อ โดยเรามาดูสัญญาณสำหรับผู้ที่ต้องฟื้นฟูสุขภาพหลังจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างจริงจัง

  • ผู้ที่ประสบภาวะวิตกกังวลซึมเศร้า และภาวะอาการทางจิต

  คุณควรได้รับการตรวจประเมินอีกครั้งทันทีเมื่อออกจากสถานที่รักษาและฟื้นฟูโรค หรือหากคุณมีอาการดังข้างต้นที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในทันที

สำหรับผู้ป่วยที่อาจจะไม่รู้ตัว มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย หรือไม่มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ครอบครัวหรือคนใกล้ตัวผู้ป่วยอาจจะต้องสังเกตจากพฤติกรรม เช่น  คำพูด ความคิด การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่พบเจอในลักษณะของผู้ป่วยทางจิต และขอให้รีบเข้าไปพูดคุย รับฟัง พร้อมให้ความช่วยเหลือ โดยผู้ป่วยหรือผู้พบเห็น สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น
  • ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีอาการโรคพังผืดในปอดและระบบทางเดินทำงานผิดปกติจากการติดเชื้ออย่างรุนแรงจากภาวะพายุไคโตไคน์ อาการเบื้องต้น เช่น

⌕  หายใจได้ลำบาก สั้นและถี่
⌕  อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การรับประทานอาหาร การเดินทาง เป็นต้น
⌕  อาการไอเรื้อรัง
⌕  เป็นไข้หวัด และเกิดอาการแทรกซ้อนทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัด โรคปอดปวม โรควัณโรค เป็นต้น

  • ผู้ที่มีอาการตับอักเสบหรือตับแข็ง อาการเบื้องต้น เช่น

  ตัวเหลืองหรือผิวเหลือง
  อาการบวมที่ท้องและขา
  ฟกช้ำง่าย
  อุจจาระและปัสสาวะเปลี่ยนสี

  • ผู้ที่มีอาการตับอ่อนอักเสบ หรือโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง อาการเบื้องต้น เช่น

  ภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
  เบื่ออาหาร มีอาการอ่อนเพลีย
  คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มีภาวะลมในท้อง
  อุจจาระมีลักษณะเป็นไขมันจากไขมันย่อยไม่ได้ และมีสีซีด
⌕  ปัสสาวะมีสีเข้ม

  • ผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาการเบื้องต้น เช่น

  เจ็บหน้าอกบ่อยๆ
  หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  มีอาการบวมของขา เท้า และข้อเท้า รวมถึงอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือข้อ

  • ผู้ที่ประสบปัญหาต่อระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด อาการเบื้องต้น เช่น

  ความเปราะบางของผนังหลอดเลือด
  การแข็งตัวของเลือดเป็นไปได้ช้า
  หลอดเลือดสมองตีบ
⌕  ภาวะความแปรปรวนของความดันโลหิต
⌕  เกิดโรคเบาหวานร่วมด้วย

  • ผู้ที่ประสบภาวะความบกพร่องการทำงานของระบบประสาทและสมอง อาการเบื้องต้น เช่น

  มีอาการอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม
  เวียนศีรษะเรื้อรัง
  กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  อาการชัก และโรคพาร์กินสัน

การฟื้นฟูสุขภาพจิต

ควรเป็นการฟื้นฟูเป็นอันดับแรกๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรงหรือป่วยทั่วไป แต่ถ้าคุณพบเจอกับอารมณ์ที่ยังโศกเศร้ากังวลในเรื่องๆ ต่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว การสูญเสียคนรัก งานที่ทำ พิษเศรษฐกิจ กลัวการเข้าสังคมหรือการใช้ชีวิต เป็นต้น อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม เช่น โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์รุนแรงที่สะเทือนใจ (PTSD) โรคซึมเศร้า นอกจากที่จะส่งผลต่อภาวะจิตใจและความรู้สึกต่อผู้ป่วยแล้ว หากปล่อยไว้ยังส่งด้านอื่นๆ เช่น

  • อาการอักเสบภายในร่างกายที่เพิ่มขึ้น
  • ฮอร์โมนความเครียด (Cotisol) ที่หลั่งมาตลอดเวลามากอย่างผิดปกติ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจและเส้นเลือด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • อัตราการเต้นของหัวใจและการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
  • ความแปรปรวนทางเมตาบอลิซึมที่เป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดโรค NCDs เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

หากคุณได้รับการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพได้อย่างทันท่วงทีและได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จะทำให้คุณได้ใช้ชีวิตที่มีความพร้อม กับยุคที่สุขภาพนั้นมีค่าเท่ากับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว

แต่คุณสามารถฟื้นฟูสุขภาพจิตได้ด้วยตนเอง (ในกรณีที่แค่มีความรู้สึกว่าเศร้า แต่ยังสามารถทำกิจกรรมและใช้ชีวิตประจำวันได้) หรือเข้ารับการบำบัดและรักษากับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต (ในกรณีที่อยากฆ่าตัวตาย หรือไม่มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตประจำวัน)

  • กรณีที่สามารถบำบัดได้ด้วยตนเอง

(ในกรณีที่รู้ตัวว่าตนเองมีความรู้สึกเศร้า โดยยังสามารถทำกิจกรรมและใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ)

✔ เล่าปัญหาหรือความไม่สบายใจให้คนในครอบครัว เพื่อน หรือผู้ที่เราไว้ใจ รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการให้คำปรึกษาและแนะนำทางด้านสุขภาพจิต

✔ บริจาคทานให้แก่ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส

✔ ออกกำลังกายในพื้นที่สาธารณะ

✔ นัดสังสรรค์กับครอบครัวหรือเพื่อน หรือชวนกันท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่

✔ การอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ หรือดูรายการที่ส่งเสริมให้เกิดความคิดเชิงบวก

✔ ศึกษาหรือฝึกเทคนิคการกำจัดความเครียดและความเศร้า เพื่อที่สามารถเข้าใจและมองโลกตามความเป็นจริง

✔ ปรับและจัดการความคาดหวังหรือแผนการที่ต้องทำให้สำเร็จ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน

✔ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ส่งผลลบต่อความรู้สึก เช่น การใช้สารเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด การรับชม รับรู้ ในสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้า ความรุนแรง และความอคติ

  • กรณีที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย หรือไม่มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ดังนั้น ครอบครัวหรือคนใกล้ตัวผู้ป่วยอาจสังเกตได้จากสิ่งต่อไปนี้

  กิริยาท่าทางที่เศร้า เหม่อลอย เซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา หรือเปลี่ยนเป็นคนละคนไปในทางลบหลังจากการติดเชื้อโควิด-19

  อารมณ์แปรปรวนแบบโรคหลายบุคลิก (จากที่ไม่เคยเป็น)

  คำพูดและความคิดที่แฝงไปด้วยแง่ลบ และการเปรียบเปรยที่ดูถูกหรือตัดพ้อต่อตนเองหรือผู้อื่น พูดจาฝากฝังธุระกับคนไว้ใจ หรือถ้อยคำที่อาจมีความเชื่อมโยงการการฆ่าตัวตาย หรือความรู้สึกไร้ค่าต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา

  ชอบเก็บตัว มักปิดการติดต่อทุกช่องทาง หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม⌕  อาจมีการใช้สารเสพติด

  ร่องรอยการทำร้ายร่างกายตนเอง

หากพบผู้ที่มีลักษณะพฤติกรรมและอารมณ์ที่ซึมเศร้าอย่างรุนแรงที่เข้าข่ายนี้ ขอให้รีบเข้าไปพูดคุย รับฟัง และให้ความช่วยเหลือ โดยผู้ป่วยหรือผู้พบเห็น สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง

การฟื้นฟูสุขภาพทางระบบประสาทและสมอง

ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มีอาการขั้นรุนแรงอาจประสบกับปัญหาทางระบบประสาทและสมองมากถึง 80% ส่วนใหญ่จะมีปัญหาด้านความจำ สมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน ประสาทสัมผัสทางการรับรสและกลิ่นเสื่อมเฉียบพลัน รวมถึงภาพหลอน ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่ก่อปัญสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์รุนแรงที่สะเทือนใจ (PTSD) เป็นต้น

สำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อที่มีอาการป่วยทั่วไป จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพทางระบบประสาทและสมอง ประมาณ 20-40% ซึ่งในการฟื้นฟูในส่วนนี้ต้องได้รับการประเมินและบำบัดจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง

หากการพักฟื้นหรือการรักษาอาจมีระยะเวลาที่ยาวนาน ที่อาจส่งผลต่อระบบประสาทและสมองสั่งการ ที่มีผลในส่วนการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออาจอ่อนแอ การขยับเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน ข้อต่อเริ่มขาดความยืดหยุ่น การแก้ไขเบื้องต้นสามารถทำได้โดยเริ่มจาการทำกายภาพบำบัดฟื้นฟู หากเป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่านี้ เช่น มีการชาอย่างรุนแรงไปจนถึงไร้ความรู้สึก รวมถึงการเกร็งที่อวัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ปากเบี้ยว อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ต้องได้การรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมองในทันที

การฟื้นฟูสุขภาพอวัยวะภายใน

การตรวจประเมินอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ปอด หัวใจ ไต และตับ มีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโควิด-19 หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินที่สถานที่ฟื้นฟูว่าสุขภาพคุณเป็นปกติแล้ว ควรได้รับการตรวจประเมินอีกครั้งในทันที เพื่อเป็นการยืนยันสุขภาพของอวัยวะภายใน และสุขภาพในภาพรวม ว่าคุณสามารถพร้อมใช้ชีวิตแบบปกติได้ทันทีหรือไม่ หรือให้ทราบว่ามีจุดใดที่จะต้องเน้นเพื่อรับการบำบัดฟื้นฟู และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อที่นำมาปรับใช้การดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับตนเอง เพราะหากช้าไปอาจจะเกิดปัญหาสุขภาพที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งก็จะส่งผลเชื่อมโยงต่อสุขภาพโดยรวมทันที 

การฟื้นฟูสุขภาพทางร่างกาย

  • สำหรับผู้ที่เคยมีอาการการติดเชื้อโควิด-19 อย่างรุนแรง

☑  ควรได้รับคำแนะนำและได้รับการบำบัดฟื้นฟูจากนักกายภาพบำบัด

☑  บำบัดและเน้นฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ

☑  ฝึกการทรงตัว ควบคุมการหายใจ

☑  ออกกำลังที่เน้นการขยับร่างกายแบบเบาๆ ในทุกส่วน เช่น การเดิน การเคลื่อนไหวแบบท่าวอร์มร่างกาย การรำไทเก๊ก เป็นต้น

  • สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง

☑  ก่อนออกจากสถานที่พักฟื้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้องจากนักกายภาพบำบัด

☑  ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพประมาณ 10 วันหลังที่ติดเชื้อ และไม่ได้รับประทานยาสำหรับการกำจัดเชื้อโควิด-19

☑  ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น การเล่นเวท และการออกกำลังกายแบบแรงต้านต่ำๆ เช่น การซิทอัพ วิดพื้น และการดึงข้อ ในจำนวนครั้งที่เหมาะสมไม่หักโหมจนรู้สึกหอบและหายใจลำบากเกินไปในช่วงระยะการฟื้นฟูสุขภาพนี้

☑  ออกกำลังที่เน้นการขยับร่างกายแบบเบาๆ ในทุกส่วน เช่น การเต้นแอโรบิค การวิ่งจอกกิ้ง เป็นต้น

☑  หากมีอาการเจ็บหน้าอกหรือใจสั่น หายใจติดขัด ควรค่อยๆ หยุดออกกำลังกาย และถ้าหากอาการยังคงหนักขึ้นควรเรียกสายด่วนฉุกเฉิน

☑  ตรวจประเมินสุขภาพเพื่อดูหาจุดบกพร่องหรืออาการที่สังเกตเห็นได้ยากทางกายภาพ เช่น การขาดสารอาหาร ความสมบุรณ์ของเลือด ปริมาณสารพิษในร่างกาย เป็นต้น

  •  เริ่มจาก การตรวจประเมินสุขภาพจิต จะสัมพันธ์กับระยะเวลาการฟื้นฟูรักษาที่ผู้ป่วยจะมีกำลังใจหรือมีจุดหมาย หลังจากการฟื้นฟูรักษาโดยให้ความร่วมมือกับผู้ดูแลในสถานที่ฟื้นฟูอย่างดีจากนั้น การตรวจประเมินสุขภาพทางระบบประสาทและสมอง  เพื่อหาการทำงานที่อาจมีข้อบกพร่องต่อการเคลื่อนไหว การคิด การพูด รวมถึงการทำงานของระบบอวัยวะภายใน ซึ่งจะมีผลต่อการทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว หลังจากนั้น การตรวจประเมินสุขภาพของอวัยวะภายใน จะทำให้รู้ถึงจุดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะภายในที่สำคัญที่อาจเป็นอันตรายต่อการฟื้นฟู การออกกำลังกาย และการก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (์NCDs) ในผู้ป่วยในเวลาต่อมาได้ หากมีความบกพร่องต้องเริ่มฟื้นฟูที่อวัยวะภายในให้มีสมรรถภาพการทำงานให้ดีที่สุดก่อน และค่อยส่งเสริมการฟื้นฟูในส่วนของสรรถภาพทางร่างกายต่อไป ขั้นสุดท้าย การตรวจประเมินสุขภาพทางร่างกาย จะทำให้เห็นภาพรวมของสุขภาพ ในผู้ที่เคยรับเชื้อโควิด-19 มีสุขภาพที่พร้อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากน้อยเพียงใด โดยให้ปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเองได้ 

สรุป

กุญแจที่จะเปิดจุดเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูและดูแลสุขภาพหลังการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างตรงจุด คือการตรวจประเมินสุขภาพโดยเริ่มต้นจากทางด้านสุขภาพจิต ด้านระบบประสาทและสมอง ด้านอวัยวะภายในที่สำคัญ และด้านสมรรถภาพทางร่างกายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสังเกตอาการที่อาจผิดปกติด้วยตนเองระหว่างการฟื้นฟู เพื่อที่จะรู้จุดบกพร่องหรือปัญหาสุขภาพที่เกิดจากหลังจากการติดเชื้อหลังการติดเชื้อโควิด-19 จนกว่าการประเมินสุขภาพจะได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพว่าปกติดีแล้ว รวมถึงต้องไม่ละเลยข้อควรปฏิบัติที่สำคัญในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อและยังไม่ไม่ได้รับการรับรองทางกระทรวงสาธารณสุข สิ่งที่ช่วยลดการแพร่ระบาด ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม หลีกเลี่ยงสถานที่ผู้คนแออัด รับวัคซีนเมื่อมีโอกาส และล้างมือให้สะอาดสม่ำเสมอ

หากคุณสนใจเนื้อหานี้ เราขอแนะนำ โปรแกรมตรวจสุขภาพ “หลังการติดเชื้อโควิด-19 (Long COVID-19 Program)” เพื่อดูแลสุขภาพหลังการติดเชื้อโควิด-19 และหลังจากการระบาดของเชื้อเชื้อโควิด-19 สำหรับคุณและคนที่คุณห่วงใย เพราะการตรวจสุขภาพก่อน ป้องกันได้ ที่พาธแล็บ ศูนย์ตรวจสุขภาพ ที่รู้ใจสุขภาพของคุณ

โปรแกรมตรวจสุขภาพ
“หลังการติดเชื้อโควิด-19
(Long COVID-19 Program)”

อย่าให้หลังการติดเชื้อหรือหลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวต่อร่างกายคุณ มาดูแลฟื้นฟูสุขภาพหลังการติดเชื้อหรือผู้ที่สงสัยว่าเคยได้รับเชื้อ หากมีอาการไอเรื้อรัง เหนื่อยหรือหอบง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง นอนไม่หลับ ซึมเศร้าฯ ควรตรวจประเมินสุขภาพเพื่อหาสาเหตุและการดูแลที่ถูกต้อง

รายละเอียดเพิ่มเติม >> กดคลิก <<

ข้อมูลโดย :

ทนพ. ชาญเวช ตันติกัลยาภรณ์

นักเทคนิคการแพทย์

พาธแล็บ ศูนย์ตรวจสุขภาพ สาขาแจ้งวัฒนะ

Pathlab Healthcare Center: Chaengwattana Center
Tel. [ กดโทร ]  02 573-3490-1

พาธแล็บยินดีให้คำแนะนำ และปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ หรือหากสนใจบริการตรวจสุขภาพกับเราสามารถติดต่อได้ที่:


ศูนย์บริการพาธแล็บ  [ กดโทร ]  02 619-2299 หรือ 02 619-2288


Facebook Inbox  [ กดคลิก ]  th.pathlab.link/inbox


LINE Official  [ กดคลิก ]  th.pathlab.link/LINE

Website  [ กดคลิก ]  www.pathlab.co.th


Location สาขาใกล้ๆ คุณ  [ กดคลิก ]  th.pathlab.link/google-maps

อ้างอิงจาก:

แสดงความคิดเห็น

Close Menu