เรื่องน่ารู้:
- เชื้อ เอช.ไพโลไร เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถพบการปนเปื้อนทั่วไปได้จากการสัมผัสอุจจาระ น้ำลาย การกินอาหารและดื่มน้ำที่มีเชื้อ และสามารถพบเชื้อได้ในกระเพาะอาหารของประชากรทั่วโลกมากถึง 50% และเป็นสาเหตุสำคัญของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร
- เชื้อ เอช.ไพโลไร เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่าคนปกติถึง 8-9 เท่า และเชื้อสามารถอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี
- สาเหตุสำคัญการติดเชื้อ เอช.ไพโรไล คือ การติดต่อจากการอยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัวที่มีการติดเชื้อ เช่น จากแม่สู่ลูก การจูบ หรือจากการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางการกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ การกินอาหารร่วมกันโดยไม่ใช้ช้อนกลางหรือแยกพาชนะกับผู้ติดเชื้อ การกินอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด การกินอาหารที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงความเครียดที่ส่งผลผิดปกติต่อหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เป็นต้น และหากเกิดจากพันธุกรรม เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระเพาะ หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร ก็จะเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ
- ลักษณะอาการติดเชื้อ เอช.ไพโรไล ได้แก่ อาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในช่องท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลดอย่างไม่มีสาเหตุ เป็นต้น
- ลักษณะพิเศษของอาการติดเชื้อ เอช.ไพโรไล อาจจะไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค บางรายไม่มีอาการปวดท้อง แต่มีแผลใหญ่มากในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ บางรายปวดท้องมากแต่ไม่มีแผลเลยก็ได้
- สำหรับการป้องกันง่ายๆ คือ หมั่นล้างมือให้สะอาด กินร้อน ช้อนกลาง บริโภคอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อ และจัดการความเครียดที่จะสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารในการผลิตน้ำย่อยมากกว่าปกติจนเชื้อแทรกซึมเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อให้ได้
- หากไม่แน่ใจในอาการดังกล่าว หรือเคยรับรักษามาแล้วแต่กลับมีอาการ ควรตรวจประเมินสุขภาพในการตรวจหาเชื้อ เอช.ไพโรไล อย่างสม่ำเสมอ
รู้จักเชื้อเอช. ไพโรไล (H. Pylori)
ปี 2525 นายแพทย์ชาวออสเตรเลีย ชื่อ นายแพทย์โรบิน วอร์เรน (J.Robin Warren) ได้ค้นพบเชื้อแบคทีเรียตัวหนึ่งในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหาร เกิดแผลในกระเพาะอาหารและเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ในขณะนั้นความสำคัญของเชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก แต่ ณ ปัจจุบัน การค้นพบเชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร ของนายแพทย์โรบิน วอร์เรน เป็นที่ยอมรับและเป็นการเปิดมิติใหม่ในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งถือได้ว่าการค้นพบครั้งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติเป็นอย่างมาก
แบคทีเรีย เอช.ไพโลไร คืออะไร
เชื้อ เอช.ไพโลไร เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่มีรูปร่างเกลียว (Spiral) จะพบเชื้อได้ในกระเพาะอาหารของประชากรทั่วโลกมากถึง 50% เชื้อ เอช.ไพโลไร เป็นสาเหตุสำคัญของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อสามารถติดต่อกันได้จากการอยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัว จากแม่สู่ลูกหรือจากการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางปากโดยอาจมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ในอาหาร และเชื้อสามารถอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี
สำหรับในประเทศไทย พบว่า สาเหตุการติดเชื้อมาจากสภาวะแวดล้อม พันธุกรรม และการบริโภคอาหาร ซึ่งสายพันธุ์ของเชื้อจะแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ขึ้นอยู่กับภูมิภาค โดยส่วนมากจะพบอัตราการติดเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่การแสดงออกทางอาการส่วนมากจะพบได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ความสัมพันธ์ของเชื้อ เอช.ไพโลไร กับมะเร็งในกระเพาะอาหาร
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปัจจุบันให้ความสำคัญต่อเชื้อ เอช.ไพโลไร มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร เริ่มต้นจากเชื้อนี้ทำให้มีการอักเสบของกระเพาะอาหาร และทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารอย่างช้าๆ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า แผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง (Chronic Atrophic Gastritis) ซึ่งไม่มีอาการ แต่จะมีผลทำให้เกิดพยาธิสภาพต่างๆ เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ภาวะโลหิตจางที่เรื้อรังและรุนแรง (Perinccious Anemia) หรือแม้กระทั่งกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ โดยประมาณการว่าผู้ที่มีเชื้อ เอช.ไพโลไร จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่าคนปกติถึง 8-9 เท่า
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
1. การมีประวัติเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังบางชนิด หรือเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เอช.ไพโลไร
∎ โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) มีโอกาสพบเชื้อ เอช.ไพโลไร ร่วมด้วยประมาณ 60-80%
∎ โรคแผลในลำไส้เล็ก (Duodenal Ulcer) มีโอกาสพบเชื้อ เอช.ไพโลไร ร่วมด้วยประมาณ 95-100%
∎ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric Cancer) มีโอกาสพบเชื้อ เอช.ไพโลไร ร่วมด้วยประมาณ 72%
2. กระเพาะอาหารเกิดภาวะกรดหรือสร้างน้ำย่อยผิดปกติ เนื่องจากสิ่งต่อไปนี้
∎ การกระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวล และอารมณ์แปรปรวน
∎ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน การสูบบุหรี่ จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก
∎ การกินอาหารไม่เป็นเวลา
3. เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย เกิดจาก
∎ การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆ โดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้ว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะได้ เนื่องจากยานี้จะไปกระตุ้นให้เกิดเอนไซม์ที่ชักนำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหาร (Cyclooxygenase II (COX II))
∎ การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัด
∎ การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
4. พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ เอช.ไพโลไร มากกว่าคนปกติ
อาการของโรค
1. ปวดท้อง ลักษณะอาการปวดท้องที่สำคัญ คือ
∎ ปวดบริเวณลิ้นปี่ ปวดแบบแสบๆ หรือร้อนๆ ปวดเรื้อรังมานาน เป็นๆ หายๆ เป็นเดือนหรือเป็นปี
∎ ปวดสัมพันธ์กับอาหาร เช่น ปวดเวลาหิวหรือท้องว่าง เมื่อกินอาหารหรือนมจะหายปวด บางรายจะปวดหลังจากกินอาหารหรือปวดกลางดึกก็ได้
2. จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในช่องท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน
3. อาการแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอาการสำคัญที่นำไปสู่การเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่
∎ อาเจียนเป็นเลือดดำ หรือแดง หรือถ่ายดำ เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น
∎ ปวดท้องรุนแรง และช็อค เนื่องจากแผลกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กทะลุ
∎ ปวดท้อง และอาเจียนมาก เนื่องจากการอุดตันของกระเพาะอาหาร
∎ คลำเจอก้อนที่ท้อง ตรงเหนือบริเวณสะดือเป็นก้อนแข็ง ไม่เจ็บ
∎ คลำเจอก้อนต่อมน้ำเหลืองที่แอ่งไหปลาร้าข้างซ้าย
4. น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการของโรคกระเพาะอาหารจะไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค บางรายไม่มีอาการปวดท้อง แต่มีแผลใหญ่มากในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ บางรายปวดท้องมากแต่ไม่มีแผลเลยก็ได้
การตรวจหาเชื้อ เอช.ไพโลไร
1. โดยการเจาะเลือดหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ เอช.ไพโลไร ตรวจหาภูมิต้านทานในเลือด อุจจาระ
2. Urea Breath tests วิธีนี้โดยมากใช้ติดตามหลังการรักษา โดยการให้ผู้ป่วยดื่มสารยูเรียซึ่งมีอะตอมของคาร์บอนอาบรังสี ถ้าผู้ป่วยมีเชื้อในกระเพาะอาหารจะตรวจพบอะตอมของคาร์บอนจากลมหายใจ
3. จากการตัดเนื้อเยื่อโดยการส่องกล้องผ่านทางปาก เรียกว่า Gastroscopy ซึ่งตรวจได้ 3 วิธี
∎ นำเนื้อเยื่อทำปฏิกิริยา Urease Test ถ้ามีเชื้อจะให้ผลบวก
∎ นำเนื้อเยื่อส่องกล้องหาตัวเชื้อ
∎ นำเนื้อเยื่อไปเพาะเชื้อ
ระดับการติดเชื้อ
ระดับที่ 1 การเพิ่มจำนวนของเชื้อที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร
ระดับที่ 2 เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร (โรคกระเพาะเรื้อรัง)
ระดับที่ 3 เกิดการสูญเสียของเซลล์ในกระเพาะอาหารและระบบย่อยอาหารบกพร่อง
ระดับที่ 4 เกิดการเจริญเติบโตผิดที่ของเซลล์ในลำไส้แทนที่เซลล์ของกระเพาะอาหาร
ระดับที่ 5 ระยะเริ่มต้นของก่อตัวของเซลล์มะเร็งกระเพาะอาหาร แต่จะยังไม่พบการแทรกของเซลล์ที่ผิดปกตินั้นไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง
ระดับที่ 6 เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
แนวทางการรักษา
ต้องได้รับการรักษาและภายใต้การดูแลจากแพทย์ โดยมีแนวทางดังนี้
1. รับประทานยาลดกรดออกฤทธิ์แรงหรือยาเคลือบกระเพาะร่วมกับใช้ยาปฏิชีวนะที่รักษาโรคกระเพาะที่เกิดจากเชื้อ เอช.ไพโลไร นาน 6-8 สัปดาห์
2. ติดตามการรักษาเป็นระยะ หากไม่ดีขึ้นจำเป็นต้องใช้การตรวจพิเศษร่วมด้วย เช่น การส่องกล้องหรือการเอ็กซเรย์กระเพาะ ลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม การตรวจชิ้นเนื้อ
แนวทางป้องกัน
1. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ มันสำคัญมากที่จะทำสิ่งนี้หลังจากใช้ห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร รวมถึงการไม่ใช้มือหยิบจับอาหารร่วมกับผู้อื่น
2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารทุกอย่างที่คุณกินได้รับการทำความสะอาดและปรุงอย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดภาวะการหลั่งน้ำย่อยผิดปกติหรือสร้างภาวะกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปจึงเกิดแผลอักเสบที่กระเพราะอาหารได้
3. มั่นใจในน้ำดื่มของคุณสะอาดและปลอดภัยสิ่งปนเปื้อน
4. ควรมีวิธีจัดการความเครียดในแต่ละครั้งให้ได้ เพื่อไม่ให้มีผลต่อร่างกายในหลั่งน้ำย่อยอย่างผิดปกติ ที่จะทำให้เกิดแผล และสามารถทำให้เชื้อโรคแทรกซึมเข้าไปสร้างการติดเชื้อให้เกิดขึ้นได้
5. ควรตรวจประเมินสุขภาพในการตรวจหาเชื้อ เอช.ไพโรไล อย่างสม่ำเสมอ เพราะเชื้อ เอช.ไพโลไร สามารถกลับมาติดเชื้อซ้ำได้
สรุป
เชื้อ เอช.ไพโลไร (H. Pylori) คือ เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เป็นสาเหตุสำคัญของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร การรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางปากโดยอาจมีเชื้อปนเปื้อนอยู่อุจจาระ น้ำลาย การกินอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด การกินอาหารร่วมกันโดยไม่ใช้ช้อนกลางหรือแยกพาชนะกับผู้ติดเชื้อ การกินอาหารที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัดหรือเปรี้ยวจัด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงความเครียดที่ส่งผลผิดปกติต่อหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เป็นต้น และอาจเกิดจากพันธุกรรมหรือการส่งต่อจากคนในครอบครัวที่เคยได้รับเชื้อ แม้จะเคยรับรักษามาแล้วก็สามารถกลับมาติดเชื้อซ้ำได้
ข้อมูลโดย :
พาธแล็บ ศูนย์ตรวจสุขภาพ สาขาแจ้งวัฒนะ
Pathlab Healthcare Center: Chaengwattana Center
Tel. [ กดโทร ] 02 573-3490-1
พาธแล็บยินดีให้คำแนะนำ และปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ หรือหากสนใจบริการของเราสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์บริการพาธแล็บ [ กดโทร ] 02 619-2299 หรือ 02 619-2288
Facebook Inbox [ กดคลิก ] th.pathlab.link/inbox
LINE Official [ กดคลิก ] th.pathlab.link/LINE
Website [ กดคลิก ] www.pathlab.co.th
Location สาขาใกล้ๆ คุณ [ กดคลิก ] th.pathlab.link/google-maps
อ้างอิงจาก:
-
-
- งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. (2562). “เชื้อเอชไพโลไร แบคทีเรียเหตุโรคกระเพาะอาหาร สู่มะเร็ง”. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564. จากเว็บไซต์: https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/เชื้อเอชไพโลไร-แบคทีเรี/
- พญ.อนุสสรา ส่งทอง. “มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric Cancer)”. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564. จากเว็บไซต์: http://www.chulacancer.net/uploads/articles_attc/1406704001.pdf
- The Johns Hopkins University. “Helicobacter Pylori”. Retrieved May 12, 2021, from https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/helicobacter-pylori
- WebMD. (2020). “What Is H. pylori?”. Retrieved May 12, 2021, from https://www.webmd.com/digestive-disorders/h-pylori-helicobacter-pylori
-