เรื่องน่ารู้:
- วิตามิน A , C, E, D และสารอาหารจากธรรมชาติ เช่น ไฟโตเคมิคอล โคลีน กรดไขมันโอเมก้า-3 เป็นผู้ช่วยภูมิคุ้มกันในการป้องกันอันตรายจากมลภาะวะทางอากาศและเชื้อโรค ที่จะมาสร้างภาวะแทรกซ้อนให้กับร่างกายได้
- ยกระดับภูมิคุ้มกันขึ้นอีกด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายในที่ร่มหรือภายในบ้าน อาคาร และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการให้ความสำคัญในการสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันมลภาวะทางอากาศและเชื้อโรค เช่น สารโลหะหนัก ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัสต่างๆ เป็นต้น
- การตรวจสุขภาพเพื่อประเมินระดับวิตามินในร่างกาย จะช่วยให้คุณรู้ปริมาณวิตามินต่างๆ ที่ควรได้รับอย่างเหมาะสมต่อวันสำหรับคุณ
วิตามินกับการป้องกันมลภาวะทางอากาศ
คนเราจะมีชีวิตและสุขภาพที่ดีได้ ก็ต่อเมื่อเราหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป แต่อากาศที่ว่าสำคัญนั้น กลับกลายเป็นไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพอีกต่อไป เมื่อคุณอยู่ในเมืองใหญ่หรือใกล้เขตอุตสาหกรรม จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันตนเองจากมลภาวะทางอากาศและเชื้อโรคใกล้ตัว เช่น การสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกรองป้องกันฝุ่นและเชื้อโรค การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือเพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น
เหล่านี้เป็นเรื่องการป้องกันจากภายนอกทั้งสิ้น แต่การป้องกันจากภายในก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ การกินวิตามินและอาหารเสริมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันอันตรายจากมลภาวะทางอากาศและเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นวิตามินและสารอาหารตัวใดบ้าง พลาดไม่ได้กับบทความนี้
วิตามิน A
ประโยชน์ของวิตามินเอ :
- ช่วยในการมองเห็น ป้องกันต้อกระจก
- ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด
- ช่วยให้เนื้อเยื่อและผิวหนังแข็งแรง
- มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินเอ…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพจากโรคหอบหืด
- ลดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ
- เพิ่มภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ :
- ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา นม เนย ชีสบางชนิด แครอท บรอคโคลี่ มันเทศ ผักคะน้า ผักขม ฟักทอง กระหล่ำปลีเขียว แอปริคอท และแคนตาลูป
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
- ผู้ชาย ≈ 900 ไมโครกรัม (mcg) หรือ (3,000 หน่วยวัดมาตรฐานสากล (I.U.))
- ผู้หญิง ≈ 700 ไมโครกรัม (mcg) หรือ (2,333 หน่วยวัดมาตรฐานสากล (I.U.))
วิตามิน C และ E
ประโยชน์ของวิตามินซีและอี :
- อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม ป้องกันต้อกระจก ช่วยสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด และการฟื้นฟูบาดแผลให้หายเร็วขึ้น
- ในส่วนของวิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ รวมถึงโครงสร้างวิตามินเอ และไขมันบางชนิด ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ป้องกันหลอดลมตีบ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการทำลายที่เกิดจากอนุมูลอิสระในคนที่มีภาวะเบาหวานเรื้อรัง ฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด
วิตามินซีและอี…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพจากโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- ป้องกันความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอด
แหล่งอาหารที่มีวิตามินซีและอี :
- สำหรับวิตามินซี : ผลไม้และน้ำผลไม้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้ม) มันฝรั่ง บรอคโคลี่ พริกหยวก ผักขม สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ กะหล่ำปลี
- สำหรับวิตามินอี : น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว ถั่วหรือธัญพืชไม่ขัดสี
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
● สำหรับวิตามินซี :
- ผู้ชาย ≈ 90 มิลลิกรัม (mg)
- ผู้หญิง ≈ 75 มิลลิกรัม (mg)
- ผู้สูบบุหรี่: ควรเพิ่มปริมาณวิตามินซีอีก ≈ 35 มิลลิกรัม (mg)
● สำหรับวิตามินอี :
- ผู้ชาย ≈ 15 มิลลิกรัม (mg)
- ผู้หญิง ≈ 15 มิลลิกรัม (mg)
วิตามิน D
ประโยชน์ของวิตามินดี :
- ช่วยรักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดให้อยู่ในระดับปกติซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ไม่ให้เปราะบาง
- ช่วยฟื้นฟูอาการข้อเข่าเสื่อม
- กระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
วิตามินดี…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ลดโอกาสการเกิดอาการกำเริบของโรคหอบหืด
- ป้องกันความเสี่ยงจากมะเร็งปอด
แหล่งอาหารที่มีวิตามินดี :
- นม เนยเทียม ธัญพืช ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
- อายุ 31-70 ปี ≈ 15 ไมโครกรัม (mcg) หรือ (600 หน่วยวัดมาตรฐานสากล (I.U.))
- อายุ 71 ปีขึ้นไป ≈ 20 ไมโครกรัม (mcg) หรือ (800 หน่วยวัดมาตรฐานสากล (I.U.))
สารอาหารจากธรรมชาติ
ที่ช่วยป้องกันมลภาวะทางอากาศ
ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical)
หรือเรียกว่า “อินทรียสารจากพืช” เป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่พืชสร้างขึ้น สารพวกนี้เป็นสารประกอบที่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างได้ จึงต้องได้รับจากพืชเท่านั้น จากการวิจัยสารอาหารนี้ที่ได้จากขมิ้นชัน
ประโยชน์ของไฟโตเคมิคอล :
- มีบทบาทในการป้องกันความเสียหายของดีเอ็นเอที่เกิดจากสารหนู และพิษจากแคดเมียม (ธาตุโลหะต่างๆ ที่มักจะปนเปื้อนในอากาศ)
ไฟโตเคมิคอล…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ต้านอาการอักเสบในปอด
- ต้านพิษของแคดเมียมและสารหนู
- ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
แหล่งอาหารที่มีไฟโตเคมิคอล :
พืชผักชนิดที่มีสีสัน กลิ่นหรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว เช่น
- สารสีขาวหรือเหลือง เช่น หอมหัวใหญ่ ขิง ข่า กระเทียม แอปเปิล แพร์ ขึ้นฉ่าย ผักกาดหอม ฟักทอง
- สารสีส้มหรือแดง เช่น ผลไม้จำพวกส้ม มะนาว แครอท หัวบีทรูท มะเขือเทศ พริกหวานแดง แอพริคอต หรือผลไม้จำพวกแตง เช่น แตงโม แตงไทย เมล่อน
- สารสีแดงหรือม่วง เช่น เชอร์รี่ มะเขือม่วง องุ่นดำ พรุน พรัม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- สารสีเขียว เช่น ปวยเล้ง บรอกโคลี กะหล่ำดาว ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักชีฝรั่ง วอเตอร์เครส
- สารสีน้ำตาล เช่น ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง วอลนัต ชอกโกแลต ถั่วประเภทบีน และเลนทิล
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
- ควรกินผักหรือผลไม้ อย่างน้อยวันละ 400 กรัม
โคลีน (Choline)
ประโยชน์ของโคลีน :
- ช่วยสร้างและปล่อยสารสื่อประสาท Acetylcholine ซึ่งช่วยในกิจกรรมของเส้นประสาทและสมองจำนวนมาก
- มีบทบาทในการเผาผลาญและการขนส่งไขมัน
- ป้องกันอาการโรคหลอดเลือดหัวใจและการอักเสบ
โคลีน…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ลดโอกาสเกิดอาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ
แหล่งอาหารที่มีโคลีน :
- เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ สัตว์ปีก ปลา หอย ถั่วลิสง และกะหล่ำดอก
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
- ผู้ชาย ≈ 550 มิลลิกรัม (mg)
- ผู้หญิง ≈ 425 มิลลิกรัม (mg)
กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)
ประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า-3 :
- ในเด็กมีความสำคัญต่อการเติบโตของสมองและดวงตาของเด็กทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เด็กที่มี DHA ต่ำจะมีปัญหาด้านพฤติกรรมอารมณ์ การนอนและการเรียนรู้
- ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนั้น จะช่วยลดระดับความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ ช่วยลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ยากขึ้น
- ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม
กรดไขมันโอเมก้า-3…ช่วยในการป้องกันสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศได้อย่างไร?
- ป้องกันและฟื้นฟูการอักเสบในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากฝุ่นในอากาศ
- ลดความเสี่ยงของอาการกำเริบของโรคหอบหืด และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ
แหล่งอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 :
- ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคคอเรล
- ในน้ำมันพืชบางชนิด ที่มาจากเมล็ดแฟลกซ์ ถั่วเหลือง เมล็ดเชีย และวอลนัทดำ น้ำมันคาโนล่า
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
- ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์
สรุป
“การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา”
ที่สำคัญที่เราควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายให้เหมาะสม และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการให้ความสำคัญในการปกป้องตนเองเมื่ออยู่ข้างนอก อย่างการสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันมลภาวะทางอากาศและเชื้อโรค เช่น สารโลหะหนัก ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัสต่างๆ เป็นต้น
โดยวิตามินและสารอาหารที่ได้กล่าวมาในบทความนี้จะช่วยลดการอักเสบในร่างกายเพื่อต้านอันตรายจากมลพิษทางอากาศและเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งควรได้รับปริมาณที่เหมาะสมโดยไม่มากหรือน้อยไป และเหุตนี้จึงจำเป็นที่คุณควรจะรู้ว่าคุณได้รับวิตามินในระดับที่เหมาะสมแล้วหรือยัง โดยสามารถใช้วิธีการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินระดับวิตามินที่เหมาะสมสำหรับคุณ ที่จะสามารถช่วยต้านมลภาวะรอบๆ ตัวคุณได้มีประสิทธิภาพ
พาธแล็บยินดีให้คำแนะนำ และปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ หรือหากสนใจบริการของเราสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์บริการพาธแล็บ [ กดโทร ] 02 619-2299 หรือ 02 619-2288
Facebook Inbox [ กดคลิก ] th.pathlab.link/inbox
LINE Official [ กดคลิก ] th.pathlab.link/LINE
Website [ กดคลิก ] www.pathlab.co.th
Location สาขาใกล้ๆ คุณ [ กดคลิก ] th.pathlab.link/google-maps
อ้างอิงจาก:
-
-
- กองโภชนาการ กรมอนามัย, กระทรงสาธารณะสุข. “กินพืชผักผลไม้ให้เป็น”. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563. จากเว็บไซต์: http://nutrition.anamai.moph.go.th/images/file/vegetable.doc.
-
- คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล, มหาวิทยาลัยมหิดล. (2550). “โอเมก้า-3 ในปลาให้คุณค่าสารอาหารจริงหรือ”. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563. จากเว็บไซต์: https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=106
-
- Harvard Medical School. (2009). “Listing of vitamins”. Retrieved February 21, 2020, from https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/listing_of_vitamins
-
-
US National Library of Medicine, National Institutes of Health. (2018). “Pollution and respiratory disease: can diet or supplements help? A review”. Retrieved February 21, 2020, from
-
-